ที่นี่ญี่ปุ่นหรือกรีซ!? เที่ยวสวนโอลีฟในเกาะโชโดชิมะ
Catalog
- การเดินทาง
- SHODOSHIMA OLIVE GARDEN
- ตู้ไปรษณีย์สีโอลีฟ ตัวแทนของสันติภาพ และความสุข
- ชมกังหันลมกรีซ สัญลักษณ์ของสัมพันธไมตรีของญี่ปุ่นกับกรีซ
- แวะทานอาหารที่ทำจากโอลีฟ
- ตามหาใบโอลีฟในหัวใจ พร้อมทำที่คั่นหนังสือออิริจินอลของตัวเอง
- แวะซื้อของฝาก ผลิตภัณฑ์จากโอลีฟแสนอร่อยของเกาะนี้
- รายละเอียด SHODOSHIMA OLIVE GARDEN
ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากตึกสูงๆ ในเมืองใหญ่ มาสัมผัสสายลม แสงแดด และกลิ่นอายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ในญี่ปุ่น) บ้างคะ? วันนี้แอดจะพาทุกคนไปเที่ยว “เกาะโชโดชิมะ (Shodoshima)” ในจังหวัดคากาวะ เกาะที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และธรรมชาติอันงดงาม จนได้รับฉายาว่า “เกาะมะกอก” และไฮไลต์เด็ดที่เราจะไปปักหมุดกันคือ “Shodoshima Olive Garden” สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Kiki’s Delivery Service หรือ แม่มดน้อยกิกิ เวอร์ชันคนแสดงนั่นเอง! เตรียมไม้กวาดให้พร้อม แล้วตามแอดมาเลยค่า
การเดินทาง

สำหรับการเดินทางมายังสวนแห่งนี้ ถ้ามาจากโตเกียวอาจจะใช้เวลาพอสมควร ทางที่ดีแอดแนะนำให้เผื่อเวลาพักเที่ยวที่นี่สักวันหนึ่งจะดีที่สุดค่ะ เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบิน Takamatsu (ถ้าบินจากฮาเนดะใช้เวลาประมาณ 90 นาที แต่ถ้ามาจากโอซาก้าหรือนาโกย่าแป๊บเดียวไม่ถึงชั่วโมงค่ะ)

พอออกมาจากสนามบินปุ๊บ ให้มองหารถบัสที่เขียนว่าจะไปสถานีรถไฟ Takamatsu ซึ่งเป็นจุดเดียวกับท่าเรือเฟอร์รี่ ค่ารถประมาณ 780 เยนค่ะ

สามารถตรวจสอบรอบรถบัสได้ที่นี่

เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว เราต้องนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะโชโดชิมะค่ะ ซึ่งที่นี่มีท่าเรือหลายจุดและคนละบริษัทเดินเรือกัน ต้องเช็คดีๆ นะคะ

เดินออกมาก็จะพบกับป้ายบอกทางไปยังท่าเรือด้วยตัวอักษรคันจิขนาดใหญ่ หากคุณอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็ไม่ต้องกังวลไป

เพราะยังมีป้ายเล็กๆ ข้างๆนี้ที่มีภาษาอังกฤษเขียนไว้ด้วย แค่เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว และตลอดทางจะมีป้ายบอก ซึ่งเข้าใจง่ายมากๆ แม้จะมาเป็นครั้งแรกก้ไม่ต้องกังวล

เมื่อมาถึงบริเวณท่าเรือเฟอร์รี่แล้ว จะพบกับป้ายบอกรอบเรืออยู่

เหมือนที่บอกไป วิธีการเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะโชโดชิมะนั้นมีหลายทางด้วยกัน เราจำเป็นจะต้องตรวจสอบรอบการเดินเรือของแต่ละท่าเรือก่อน และท่าเรือที่ใกล้กับสวนโอลีฟที่สุดก็คือ Ikeda และ Tonosho หากคุณต้องการนำรถยนต์ข้ามเกาะ อย่าลืมจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์นะคะ ส่วนผู้ที่ต้องการเดินทางข้ามฝั่งเท่านั้นไม่จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้า ●รอบเรือของท่า Tonosho ●รอบเรือของท่า Ikeda

และในรอบนี้แอดเลือกที่ะขึ้นเรือที่ท่าเรือ “Tonosho” ค่ะ เพราะรอบเรือเยอะไม่ต้องรอนาน

คุณสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ซื้อตั๋วได้โดยตรงเพื่อความแน่ใจ

หรือซื้อตั๋วเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งได้เลยที่เครื่องซื้อตั๋ว ซึ่งราคาตั๋วแบบเหมาไปกลับนั้นจะถูกกว่าขาเดียว แอดแนะนำว่าถ้าใครมีเวลาไปกลับแน่นอน ให้ซื้อตั๋วเรือแบบไป-กลับเลยจะคุ้มกว่า (ราคาประมาณ 1,330 เยน) ราคาเที่ยวเดียว 700 เยน

บริเวณที่รอเรือนั้นมีความกว้างขวาง สามารถนั่งพักได้อย่างสบาย

หากคุณไม่แน่ใจว่ามาถูกท่าเรือไหม ยังสามารถตรวจสอบแผนที่ได้ดังนี้

นี่คือเรือที่จะขึ้นในครั้งนี้

ภายในเรือเฟอร์รี่แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างเป็นที่นั่งโซฟานั่งสบาย อบอุ่น และมีร้านอาหารขายอุด้งอยู่ด้วย

ไม่ว่าคุณจะดูทีวี หรือจะชมวิวที่ฝั่งหน้าต่างก็ได้

ที่ชั้นบนยังมีที่นั่งสำหรับรับลมชมวิวทะเลกับภูเขาอีกด้วย ในช่วงฤดูร้อนหรือช่วงที่อากาศไม่หนาวมาก จะค่อนข้างสดชื่นเลย แต่ในฤดูหนาว อย่าลืมใส่เสือกันหนาวให้เรียบร้อยก่อนขึ้นมายังชั้นบนนะคะเดียวจะไม่สบายเอา

จังหวัดคากาวะนั้นมีอุด้งเป็นของขึ้นชื่อ ระหว่างที่นั่งเรือ 35 นาที แอดก็เลยขอทานรองท้องก่อน

ระหว่างนั่งเรือชิวๆ เราก็สามารถชมวิวเกาะไปเรื่อยๆ
พอถึงท่าเรือ Tonosho แล้ว เราสามารถเลือกนั่งแท็กซี่ (ประมาณ 15-20 นาที) หรือจะประหยัดงบด้วยการนั่งรถบัส (ประมาณ 30 นาที) มาลงที่ “SHODOSHIMA OLIVE GARDEN” ก็ได้ค่ะ
SHODOSHIMA OLIVE GARDEN

เมื่อมาถึงแล้วคุณจะพบกับป้าย SHODOSHIMA OLIVE GARDEN ทันทีที่ก้าวเข้ามาในสวน แอดบอกเลยว่าเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกนึงเลย

ภาในสวนจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 10 โซนด้วยกัน ถึงในแผนที่สวนจะดูเหมือนมีบริเวณกว้างมาก แต่เราก็สามารถเดินไปยังแต่ละจุดได้ง่ายดายเหมือนกันนะ

บรรยากาศภายในสวนนั้นแตกต่างจากญี่ปุ่นทั่วไป แถมที่สวนแห่งนี้ยังเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Kiki’s Delivery Service หรือ “แม่มดน้อยกิกิ” ฉบับคนแสดงอีกด้วย

ตู้ไปรษณีย์สีโอลีฟ ตัวแทนของสันติภาพ และความสุข

จุดเด่นของที่นี่คือตู้ไปรษณีย์สีโอลีฟที่มีเพียงที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งสีโอลีฟนั้นหมายถึงสันติภาพ และความสุขอีกด้วย ทำไมที่นี่ถึงมีตู้ไปรษณีย์อยู่ด้วย เราจะมาเฉลยในตอนช่วงท้ายของบทความนะ
ชมกังหันลมกรีซ สัญลักษณ์ของสัมพันธไมตรีของญี่ปุ่นกับกรีซ

และจุดที่ห้ามพลาดของสวนแห่งนี้คือ กังหันลมกรีซ!!

นี่คือจุดถ่ายรูปที่ห้ามพลาดของสวนโอลีฟเลยก็ว่าได้

คุณสามารถเช่าไม้กวาดจากเรื่องแม่มดน้อยกิกิมาถ่ายรูปกับกังหันลมได้ที่นี่

โดยสามารถเช่าได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!

ไม้กวาดน่ารักมากเลย♡

ต่อไปเรามาที่อาคาร Olive Memorial Hall กันดีกว่า

เมื่อเข้ามาคุณจะพบกับรูปปั้นอันสวยงาม
แวะทานอาหารที่ทำจากโอลีฟ

เมื่อหันไปทางซ้ายจะพบกันร้านขายของหวานอยู่ คุณสามารถซื้อขนมทาน หรือซื้อโปสการ์ดน่ารักๆที่ส่งผ่านทางตู้ไปรษณีย์สีโอลีฟได้!

มาถึงสวนโอลีฟแล้วอย่าลืมทานขนมและอาหารที่ทำจากโอลีฟกันด้วยนะ เพราะที่นี่ปลูกเอง สดใหม่ อร่อยกว่าที่อื่นเลย! ไอศครีมโอลีฟก็อร่อยมากเลย

โซเม็งสีเขียวนี่คือโซเม็งที่ทำจากโอลีฟ มีความหอมอร่อยมาก

หรือผู้ที่ไม่ชอบโอลีฟก็ยังสามารถทานเมนูปกติทั่วไปได้เช่นกัน ในเมนูจะถูกราดด้วยน้ำมันมะกอกแสนอร่อยของสวนแห่งนี้

ไอศครีมสีเขียวน่ารักมากเลย แถมยังมีความหอมโอลีฟมะกอก
ตามหาใบโอลีฟในหัวใจ พร้อมทำที่คั่นหนังสือออิริจินอลของตัวเอง

และนี่คือจุดสำหรับเลือกซื้อโปสการ์ดลวดลายออริจินอลของสวน

คุณสามารถเด็ดใบโอลีฟรูปหัวใจจากในสวนมาทำที่คั่นหนังสือออริจินอลของตัวเองได้อีกด้วยนะ

ราคาในการทำที่คั่นหนังสืออยู่ที่ 300 เยนเอง
แวะซื้อของฝาก ผลิตภัณฑ์จากโอลีฟแสนอร่อยของเกาะนี้

มาถึงนี่แล้ว อย่าลืมแวะซื้อของฝากที่ทำจากโอลีฟอร่อยๆของที่นี่ด้วยนะ มีทั้งที่หุงข้าวโอลีฟ โซเม็งโอลีฟ โอลีฟออยล์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมายที่ทำจากโอลีฟ

แม้แต่ผลิตภัณฑ์ความงามที่ทำจากโอลีฟก็มีให้เลือกจำนวนมาก ลองแวะซื้อเป็นของฝากกันดูนะคะ

สวนโอลีฟที่น่ารักแห่งนี้มีกิจกรรมให้ทำอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการชมสวน สัมผัสบรรยากาศแบบกรีซ เก็บใบโอลีฟมาทำที่คั่นหนังสือ ทานอาหารที่ใช้น้ำมันมะกอกอร่อยๆที่นี่ ถ่ายรูปกับกังหันลมกรีซ มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งหน้าอย่าลืมลองแวะมาเที่ยวกันดูนะคะ
รายละเอียด SHODOSHIMA OLIVE GARDEN
เวลาทำการ: 8:30-17:00
เว็บไซต์ทางการ: https://www.1st-olive.com