รวม 10 สุดยอดที่เที่ยวเฮียวโงะ! ตั้งแต่ปราสาทมรดกโลก ออนเซ็นเก่าแก่ ไปจนถึงที่เที่ยวสุดคิ้วท์ที่สายถ่ายรูปห้ามพลาด

Catalog
- 1. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
- 2. อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
- 3. คิโนซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)
- 4. ย่านคิตาโนะอิจินคัง (Kobe Kitano Ijinkan-gai)
- 5. ภูเขารคโค (Mount Rokko)
- 6. โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
- 7. ซากปราสาททาเคดะ (Takeda Castle Ruins)
- 8. ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta Shrine)
- 9. สะพานอะคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge)
- 10. HELLO KITTY SMILE
จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่นเลยค่ะทุกคน! ที่นี่มีอาณาเขตติดทั้งทะเลญี่ปุ่นและทะเลเซโตะใน ทำให้มีทั้งธรรมชาติที่สวยงามอลังการ แถมยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเสน่ห์ของแฟชั่นที่ทันสมัยอีกด้วย ตั้งแต่ปราสาทฮิเมจิอันยิ่งใหญ่ที่เป็นมรดกโลก ไปจนถึงบ่อน้ำพุร้อนอายุนับพันปีอย่างอาริมะและคิโนซากิออนเซ็น หรือจะเป็นย่านคิตาโนะอิจินคังในโกเบที่เต็มไปด้วยบ้านพักสไตล์ตะวันตก ไปจนถึงภูเขารคโคที่สามารถชมวิวยามค่ำคืนมูลค่าล้านดอลลาร์ได้ ทุกที่ล้วนน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่เหมือนหลุดไปในโลกแห่งเทพนิยายอย่างซากปราสาททาเคดะที่ได้รับฉายาว่า “มาชูปิกชูแห่งญี่ปุ่น” ซึ่งมักถูกโอบล้อมด้วยทะเลหมอก และสวนสนุกธีม HELLO KITTY ที่ผสมผสานเรื่องราวของวังมังกรเข้ากับศิลปะได้อย่างลงตัว
ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเป็นสายเที่ยวชมวัฒนธรรม, สายธรรมชาติ, สายครอบครัว หรือสายถ่ายรูปเก๋ๆ เฮียวโงะก็พร้อมมอบทริปสุดพิเศษที่น่าจดจำให้ได้แน่นอนค่ะ บทความนี้เราคัดมาให้เน้นๆ กับ 10 สถานที่ที่ต้องไปเยือนให้ได้! เตรียมตัวให้พร้อม แล้วออกไปสำรวจดินแดนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จนทำให้คุณไม่อยากกลับบ้านกันเลยดีกว่า!
1. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
ปราสาทฮิเมจิได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามปราสาทที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่นเลยนะคะ ด้วยความที่ตัวปราสาทมีสีขาวสง่างาม เลยมีชื่อเล่นน่ารักๆ ว่า ‘ปราสาทนกกระสาขาว’ ค่ะ ตัวปราสาทหลักถูกสร้างขึ้นก่อนสมัยเอโดะ และเป็นหนึ่งในปราสาทเพียง 12 แห่งที่ยังคงโครงสร้างเดิมมาจนถึงปัจจุบัน โดดเด่นด้วยโครงสร้างปราสาทแบบเชื่อมต่อกัน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหลักและอาคารอีก 8 หลังที่ถูกกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติ ด้วยกำแพงปูนขาวและรูปทรงที่งดงาม ทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรกๆ ของญี่ปุ่นพร้อมกับวัดโฮริวจิในปี 1993 ค่ะ
ภายในปราสาทเรายังสามารถใช้แอปพลิเคชัน AR ส่องดูภาพจำลองชีวิตของสาวใช้ในวังและฉากประวัติศาสตร์อื่นๆ ได้ด้วยนะ! ที่นี่มีเส้นทางให้เดินชมหลายเส้นทาง ที่มีชื่อเสียงก็คือเส้นทางนิชิโนมารุ ซึ่งจะได้ชมที่พำนักของเจ้าหญิงเซ็นฮิเมะ และเส้นทาง ‘บ่อน้ำโอคิคุ’ ที่มีตำนานเล่าขาน ทางเข้าหลักอย่างประตูฮิชิโนะมงก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมสไตล์อะซุจิ-โมโมยามะ ปราสาทฮิเมจิยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยความลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์และความงดงามที่หาที่เปรียบไม่ได้ค่ะ
■ ที่อยู่: 68 Honmachi, Himeji, Hyogo
■ เวลาทำการ: 9:00 – 17:00
■ ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน, นักเรียนประถม/มัธยมต้น/มัธยมปลาย 300 เยน
■ เว็บไซต์ทางการ
2. อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
อาริมะออนเซ็นเป็นแหล่งอนเซ็นชื่อดังมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยค่ะ มีบันทึกไว้ใน ‘นิฮงโชกิ’ (พงศาวดารญี่ปุ่น) ด้วยนะ และยังเป็นหนึ่งใน ‘สามอนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น’ และ ‘สามอนเซ็นที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น’ อีกด้วย ที่นี่มีน้ำแร่สองชนิดคือ ‘คินเซ็น’ หรือบ่อทอง ซึ่งมีสีน้ำตาลแดงเพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและเกลือ กับ ‘กินเซ็น’ หรือบ่อเงิน ซึ่งเป็นน้ำใสไม่มีสีและมีกรดคาร์บอนิก แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณแตกต่างกันไป คินเซ็นช่วยฆ่าเชื้อและรักษาความอบอุ่น ส่วนกินเซ็นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารค่ะ
เมืองอนเซ็นแห่งนี้ตั้งอยู่ทางเหนือของภูเขารคโค ล้อมรอบด้วยภูเขา บรรยากาศเงียบสงบและผ่อนคลาย จนได้รับฉายาว่า ‘สวนหลังบ้านแห่งคันไซ’ เลยทีเดียว นอกจากจะมาแช่อนเซ็นฟินๆ แล้ว ยังมีของอร่อยๆ ให้ชิมเพียบ ไม่ว่าจะเป็นโคร็อกเกะ, ซัตสึมะอาเกะ (ทอดมันปลา), หรือไอศกรีม ถ้าได้นั่งกระเช้า Rokko Arima Ropeway ก็จะได้ชมวิวภูเขาแบบพาโนรามา เป็นทริปที่ได้ทั้งธรรมชาติและอนเซ็นแบบฟินๆ เลยค่ะ
■ ที่อยู่: Arima-cho, Kita-ku, Kobe, Hyogo
■ เวลาทำการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ ค่าบริการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ เว็บไซต์ทางการ
3. คิโนซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)
คิโนซากิออนเซ็นมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปี เป็นเมืองอนเซ็นที่มีชื่อเสียงด้าน ‘การตระเวนแช่บ่อน้ำพุร้อนสาธารณะ’ (โซโตยุเมกุริ) และเป็นที่รักของผู้คนมาตั้งแต่สมัยนาราเลยค่ะ นักประพันธ์ชื่อดังอย่างชิกะ นาโอยะ ยังเคยใช้ที่นี่เป็นฉากในนวนิยายเรื่อง ‘ที่คิโนซากิ’ ทำให้ที่นี่โด่งดังไปทั่วโลก เมืองอนเซ็นแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโอทานิ มีต้นหลิวเรียงรายและสะพานไทโกะบาชิพาดผ่าน บรรยากาศดีงามมากๆ
ที่นี่มีโรงอาบน้ำสาธารณะถึง 7 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็มีสไตล์และเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เช่น ‘โคโนะยุ’ ที่เชื่อกันว่าช่วยให้คู่รักรักกันยืนยาวและมีอายุยืน, ‘มันดะระยุ’ ที่เป็นบ่อต้นกำเนิดของอนเซ็นแห่งนี้ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีประวัติและตำนานเป็นของตัวเอง คิโนซากิออนเซ็นยังได้รับการจัดอันดับ 2 ดาวจาก Michelin Green Guide Japan ด้วยนะคะ ไม่แปลกใจเลยที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้มาสัมผัสวัฒนธรรมอนเซ็นของญี่ปุ่นกันที่นี่ค่ะ
■ ที่อยู่: Kinosaki-cho, Toyooka, Hyogo
■ เวลาทำการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ ค่าบริการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ เว็บไซต์ทางการ
4. ย่านคิตาโนะอิจินคัง (Kobe Kitano Ijinkan-gai)
ย่านคิตาโนะอิจินคังตั้งอยู่ในเมืองโกเบ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยบรรยากาศย้อนยุคสไตล์ตะวันตกค่ะ ที่นี่อนุรักษ์อาคารสไตล์ตะวันตกที่สร้างขึ้นในสมัยเมจิและไทโชไว้มากมาย และยังถูกกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมอีกด้วย แค่ได้เดินเล่นไปตามถนนก็รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวต่างประเทศเลยค่ะ แถมยังมีอาคารชื่อดังให้เราได้ไปสำรวจอย่าง ‘คาซามิโดริโนะยากาตะ’ และ ‘อุโรโกะโนะอิเอะ’ ด้วยนะ
อาคารหลายแห่งในย่านนี้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์หรือคาเฟ่ เช่น อิตาเลียนคัง (Italian House) ที่มีทั้งรูปปั้น แกลเลอรี่ และคาเฟ่ในสวนสวยๆ ที่สายถ่ายรูปต้องชอบแน่นอน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการทำน้ำหอมของตัวเอง หรือสวมบทบาทเป็นเชอร์ล็อก โฮมส์ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของโกเบที่ผสมผสานวัฒนธรรมหลากหลายได้อย่างลงตัวค่ะ
■ ที่อยู่: 3-10-20 Kitano-cho, Chuo-ku, Kobe, Hyogo
■ เวลาทำการ: มีนาคม – ตุลาคม 9:00 – 18:00; พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ 9:00 – 17:00
■ ค่าบริการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ เว็บไซต์ทางการ
5. ภูเขารคโค (Mount Rokko)
ภูเขารคโคตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโกเบ ทอดตัวยาวผ่านเมืองโกเบ, อาชิยะ, นิชิโนะมิยะ และทาคาระซึกะ และยังเป็นหนึ่งใน ‘300 ภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น’ ด้วยค่ะ บนภูเขามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มรคโคซัง, สวน Garden Terrace, หรือสวนสนุก Rokkosan Athletic Park ซึ่งแต่ละฤดูก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไป ในฤดูใบไม้ผลิก็มาชมดอกไม้ฟังเสียงนก, ฤดูร้อนก็มีกิจกรรมท้าทายร่างกายให้ทำ, ฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถชมศิลปะและทานอาหารอร่อยๆ ที่จุดชมวิวหรือพิพิธภัณฑ์ดนตรีได้ ส่วนฤดูหนาว ที่นี่จะกลายเป็นลานสกีใกล้เมือง และเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดสำหรับการชมวิวยามค่ำคืนค่ะ
และไฮไลท์เด็ดก็คือวิวยามค่ำคืนจากจุดชมวิว Rokko Tenran-dai ที่มองเห็นไปไกลถึงที่ราบโอซาก้าและวาคายามะ แสงไฟระยิบระยับสวยงามจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘วิวมูลค่าสิบล้านดอลลาร์’ บอกเลยว่าเป็นอัญมณีเม็ดงามที่ส่องประกายที่สุดของโกเบเลยค่ะ!
■ ที่อยู่: Rokkosan-cho, Nada-ku, Kobe, Hyogo
■ เวลาทำการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ ค่าบริการ: ค่ากระเช้าไป-กลับ ผู้ใหญ่ (12 ปีขึ้นไป) 1,550 เยน, เด็ก (6 ปีขึ้นไป) 780 เยน
■ เว็บไซต์ทางการ
6. โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
โกเบฮาร์เบอร์แลนด์เป็นย่านการค้าและความบันเทิงริมทะเลที่อยู่ใกล้กับสถานีโกเบ ที่นี่รวมร้านค้าแฟชั่น, ร้านอาหาร, และร้านขายของจิปาถะกว่า 200 ร้าน สะท้อนบรรยากาศที่เปิดกว้างและเป็นเอกลักษณ์ของเมืองท่าโกเบได้เป็นอย่างดี ในย่านนี้ไม่เพียงแต่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่, โรงภาพยนตร์, และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังมีทางเดินริมทะเลที่เงียบสงบ ให้เราได้เดินเล่นชิลๆ รับลมทะเลและชมพื้นที่สีเขียวอีกด้วย ในวันหยุดสุดสัปดาห์มักจะมีตลาดนัดงานฝีมือและตลาดเกษตรกรที่ขายสินค้าทำมือและวัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่นด้วยค่ะ
พอตกกลางคืน แสงไฟที่ประดับประดาผสมผสานกับวิวทะเล สร้างบรรยากาศโรแมนติกที่แตกต่างจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง เป็นจุดที่เหมาะสุดๆ สำหรับการมาสัมผัสบรรยากาศ ‘เมืองท่าโกเบ’ เลยค่ะ
■ ที่อยู่: 1 Chome Higashikawasakicho, Chuo-ku, Kobe, Hyogo
■ เวลาทำการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ ค่าบริการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
■ เว็บไซต์ทางการ
7. ซากปราสาททาเคดะ (Takeda Castle Ruins)
ซากปราสาททาเคดะตั้งอยู่บนยอดเขาโคโจยามะ ที่ความสูง 353.7 เมตร เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยมุโรมาจิโดยยามานะ โซเซ็น ผู้ปกครองแคว้นทาจิมะในขณะนั้น ด้วยรูปร่างของภูเขาที่ดูเหมือนเสือหมอบ ปราสาทแห่งนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘โทระฟุสุโจ’ หรือ ‘ปราสาทเสือหมอบ’ นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาคารหลงเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังมีแนวกำแพงหินที่ยิ่งใหญ่สวยงาม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มาชูปิกชูแห่งญี่ปุ่น’ และยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน ‘100 ปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น’ ด้วยค่ะ
ในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นทะเลหมอกโอบล้อมรอบปราสาท ทำให้ดูเหมือนปราสาทลอยฟ้าที่สวยงามราวกับความฝันเลยค่ะ นอกจากนี้ที่นี่ยังได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘Lover’s Sanctuary’ หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคู่รักอีกด้วย ทำให้มีคู่รักมากมายเดินทางมาเยี่ยมชม
在 Instagram 查看這則貼文
■ ที่อยู่: 169 Takeda, Wadayama-cho, Asago, Hyogo
■ เวลาทำการ: 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 8:00-18:00, 1 มิถุนายน – กลางเดือนกันยายน 5:00-17:00, กลางเดือนกันยายน – ต้นเดือนธันวาคม 5:00-17:00, ต้นเดือนธันวาคม – 3 มกราคม 10:00-15:00
■ ค่าเข้าชม: นักเรียนมัธยมปลายขึ้นไป 500 เยน, นักเรียนมัธยมต้นลงมา ฟรี
■ เว็บไซต์ทางการ
8. ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta Shrine)
ศาลเจ้าอิคุตะสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 201 เป็นศาลเจ้าตัวแทนของเมืองโกเบในเรื่องความรักและการขอพรให้เจอเนื้อคู่ เทพประธานของที่นี่คือ วะกะฮิรุเมะโนะมิโคโตะ (Wakahirume-no-mikoto) และมีชื่อเรียกน่ารักๆ ว่า ‘อิคุตะซังแห่งการผูกดวง’ ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านการขอพรให้ความรักสมหวังและการคลอดบุตรอย่างปลอดภัย แผ่นป้ายขอพรเอมะรูปหัวใจสีชมพูและเซียมซีทำนายดวงความรักแบบต้องแช่น้ำ (มิซึอุระไน) เป็นที่นิยมมากในหมู่สาวๆ ค่ะ คู่รักหลายคู่ที่สมหวังในความรักก็เลือกมาจัดพิธีแต่งงานแบบชินโตที่นี่ นอกจากนี้ ต้นสนในศาลเจ้ามัตสึโอะที่อยู่ภายในบริเวณยังถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งความรัก ว่ากันว่าถ้าตั้งใจอธิษฐาน ความรักก็จะสมหวัง เป็นอีกหนึ่งพาวเวอร์สปอตด้านความรักที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนโกเบเลยค่ะ
■ ที่อยู่: 1-2-1 Shimoyamate-dori, Chuo-ku, Kobe, Hyogo
■ เวลาทำการ: 9:00 – 17:00
■ ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
■ เว็บไซต์ทางการ
9. สะพานอะคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge)
สะพานอะคาชิไคเคียวมีความยาวเกือบ 4 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะฮอนชูและเกาะอาวาจิ เป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกเลยนะคะ! เมื่อมองจากฝั่งเมืองโกเบจะเห็นตัวสะพานทอดยาวตรงไปสุดลูกหูลูกตา ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่จะมีการเปิดไฟประดับประดา แสงไฟบนสะพานกับเงาสะท้อนในน้ำทำให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามราวกับฝันเลยค่ะ ใกล้ๆ กันยังมี ‘พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์สะพาน’ (Bridge Exhibition Center) ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยีการก่อสร้างและบำรุงรักษาสะพาน เป็นที่ที่ดีสำหรับเรียนรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมค่ะ และถ้าใครอยากได้ประสบการณ์แบบเจาะลึก ขอแนะนำให้เข้าร่วมทัวร์ ‘Akashi Kaikyo Bridge World’ ที่จะได้เดินบนทางเดินซ่อมบำรุงซึ่งปกติไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม และขึ้นไปบนยอดเสาหลักที่สูงประมาณ 300 เมตร เพื่อชมวิวทะเลแบบพาโนรามา สัมผัสกับทัศนียภาพอันน่าทึ่งและความงามของสะพานได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ
■ ที่อยู่: 4 Higashimaiko-cho, Tarumi-ku, Kobe, Hyogo
■ เวลาทำการ: เข้าชมได้ตลอดเวลา
■ ค่าบริการ: เข้าชมฟรี
■ เว็บไซต์ทางการ
10. HELLO KITTY SMILE
‘HELLO KITTY SMILE’ เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบครบวงจรในธีมวังมังกรของ Hello Kitty ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะอาวาจิ ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลฮาริมะนาดะและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามได้ ที่นี่ผสมผสานระหว่างมีเดียอาร์ต, ร้านอาหาร และแหล่งช้อปปิ้งได้อย่างลงตัว ภายในตกแต่งในคอนเซ็ปต์ ‘วังมังกรของเจ้าหญิงโอโตฮิเมะ’ โดยแบ่งเป็น 8 โซน เช่น เขาวงกตกระจก, ถ้ำใต้น้ำ, และกล้องคาไลโดสโคปขนาดยักษ์ สร้างบรรยากาศเหมือนเราได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกใต้ทะเลเลยค่ะ
ที่นี่ยังมีร้านอาหารธีมคิตตี้ถึง 4 ร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารจีนวิวทะเล, ร้านหม้อไฟเพื่อสุขภาพ, ร้านบาร์บีคิวซีฟู้ด และคาเฟ่สำหรับจิบชายามบ่าย ซึ่งทุกร้านใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากเกาะอาวาจิด้วยนะคะ เรายังสามารถพบปะถ่ายรูปกับ Hello Kitty, เลือกซื้อสินค้าลิมิเต็ด และเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์กชอปสำหรับครอบครัวอย่างการทำภาพจากทรายได้อีกด้วย เป็นสถานที่ในฝันที่สามารถมาเที่ยวสนุกได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกเลยค่ะ
■ ที่อยู่: 985-1 Nojima-hikinoura, Awaji, Hyogo
■ เวลาทำการ: 【วันธรรมดา】11:00 – 19:00 (เข้ารอบสุดท้าย 18:00)
【วันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์】10:00 – 19:00 (เข้ารอบสุดท้าย 18:00)
■ ค่าบริการ: ขึ้นอยู่กับแต่ละโซน
■ เว็บไซต์ทางการ
ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นในซากปราสาทโบราณ, การแช่อนเซ็นอายุนับพันปี, หรือการสัมผัสบรรยากาศเมืองท่าที่ผสมผสานความทันสมัยและดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกัน จังหวัดเฮียวโงะก็สามารถมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจเกินความคาดหมายได้เสมอค่ะ ตั้งแต่มรดกทางวัฒนธรรมไปจนถึงธรรมชาติอันงดงาม, ตั้งแต่อาหารเลิศรสไปจนถึงสวนสนุกสำหรับครอบครัว ทุกสถานที่ล้วนเต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจและเสน่ห์ ลองวางแผนการเดินทางสบายๆ แล้วไปเยือนดินแดนที่เต็มไปด้วยความหลากหลายแห่งนี้ด้วยตัวเองดูสิคะ รับรองว่าไม่ว่าจะไปกี่ครั้ง ก็จะกลับมาพร้อมกับความทรงจำดีๆ ที่ไม่มีวันลืมแน่นอนค่ะ