ตะลุยมิยางิ! รวม 10 จุดเช็คอินสุดฮิต ห้ามพลาด! ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และน้องสัตว์สุดคิวท์!

Catalog
เมื่อพูดถึงจังหวัดมิยางิ (Miyagi) หลายคนอาจจะนึกถึงเซ็นได (Sendai) เป็นอันดับแรกใช่ไหมล่ะ? แต่มิยางิเนี่ย ไม่ได้มีดีแค่เซ็นไดเท่านั้นนะ ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอลังการ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันลึกล้ำ รอให้คุณไปค้นพบอีกเพียบเลย!
ไม่ว่าจะเป็น “ซาโอะ โอคามะ” ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ดูลึกลับน่าค้นหา, “ทางเดินซากุระพันต้นริมแม่น้ำชิโรอิชิกาวะ” ที่สวยสะพรั่งละลานตา, หรือจะเป็น “เกาะมัตสึชิมะ”หนึ่งใน “สามทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น” ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าจังหวัดมิยางิมีเอกลักษณ์และความงดงามเฉพาะตัวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือนได้อย่างไม่ขาดสายเลย นอกจากนี้ยังมี “สุสานซุยโฮเด็น” ที่เต็มไปด้วยความสง่างามทางประวัติศาสตร์, “หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก” ที่มีน้องๆ ขนฟูสุดคิวท์รอต้อนรับ, และ “เกาะทาชิโระ”หรือ “เกาะแมว” สวรรค์ของเหล่าทาสแมว ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวให้ทริปของคุณสมบูรณ์แบบและน่าจดจำยิ่งขึ้น!
วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึก 10 สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดในจังหวัดมิยางิกัน ตั้งแต่ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ไปจนถึงร่องรอยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันน่าทึ่ง รวมถึงการได้ใกล้ชิดกับเหล่าสัตว์น่ารักๆ และการไปเยือนศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรเสริมดวงอีกด้วย! เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปเปิดโลกมิยางิในมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน รับรองว่าทริปนี้จะเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจและความประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอน!
จองทริปเที่ยวจังหวัดมิยางิกับ KKday
1. ซาโอะ โอคามะ (ทะเลสาบห้าสี)
ซาโอะ โอคามะ (おかま) เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาซาโอะ (Zao Mountain Range) ก่อตัวขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน ทะเลสาบแห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยยอดเขาสามลูก ได้แก่ “ภูเขาคัตตะดาเกะ” (Mt. Kattadake), “ภูเขาคุมาโนะดาเกะ” (Mt. Kumanodake) และ “ภูเขาโกชิคิดาเกะ” (Mt. Goshikidake) ทะเลสาบนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 325 เมตร และเส้นรอบวงประมาณ 1 กิโลเมตร และด้วยความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้อย่าง การเปลี่ยนสีน้ำไปตามฤดูกาล, ช่วงเวลา, สภาพอากาศ, และอุณหภูมิ ทำให้คุณสามารถได้เห็นเฉดสีที่หลากหลายตั้งแต่สีเขียวมรกต, สีน้ำเงินเข้ม, ไปจนถึงสีเขียวอมฟ้า จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “โกชิคินุมะ” (五色沼) หรือ “ทะเลสาบห้าสี” นั่นเอง เพียงได้ยืนมองผืนน้ำสีฟ้าโคบอลต์ที่ดูลึกลับและเงียบสงบ ก็รู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาจิตใจเลยทีเดียว!
■ ที่อยู่: เมืองโอซากิ จังหวัดมิยางิ (宮城県大崎市鳴子温泉湯元地内)
■ เวลาทำการ: ปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ถึงปลายเดือนเมษายน
■ ค่าเข้าชม: มีค่าผ่านทางสำหรับทางด่วน Zao Echo Line
■ เว็บไซต์ทางการ
2. หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ มิยางิ
“หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ มิยางิ” (宮城蔵王キツネ村) ตั้งอยู่ในหุบเขาของเมืองชิโรอิชิ (Shiroishi City) เป็นสวรรค์ของคนรักสุนัขจิ้งจอกอย่างแท้จริง ที่นี่เป็นบ้านของน้องจิ้งจอกมากกว่า 100 ตัว จาก 7 สายพันธุ์ รวมถึงสุนัขจิ้งจอกแดงฮอกไกโด (Ezo Red Fox), สุนัขจิ้งจอกครอส (Cross Fox), และสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก (Arctic Fox) ซึ่งน้องๆถูกเลี้ยงแบบปล่อยในพื้นที่ธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปใกล้ชิด, ป้อนอาหาร และถ่ายรูปกับน้องๆ ได้อย่างจุใจเลย แถมยังมีกิจกรรมสุดพิเศษให้คุณได้อุ้มน้องจิ้งจอกตัวน้อยๆ ด้วยนะ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว น้องๆ จะมีขนที่ฟูหนานุ่มเป็นพิเศษ ทำให้ยิ่งดูน่ารักน่ากอดมากขึ้นไปอีก
สุนัขจิ้งจอกทุกตัวในหมู่บ้านแห่งนี้เกิดจากการเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ และทางหมู่บ้านก็มีมาตรการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ในตับ อย่างเข้มงวด แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยสำหรับการเข้าชม เนื่องจากสุนัขจิ้งจอกมีสัญชาตญาณนักล่า สิ่งของที่แกว่งไปมา เช่น กระโปรงยาวพลิ้วๆ หรือถุงน่องสีดำ โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า อาจจะกระตุ้นให้น้องๆ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนูได้นะ ดังนั้น แนะนำให้หลีกเลี่ยงการแต่งกายในลักษณะดังกล่าวเพื่อความปลอดภัยของคุณ นอกจากนี้ ภายในหมู่บ้านจะมีกฎระเบียบที่ค่อนข้างเข้มงวด นักท่องเที่ยวทุกคนต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวเราและน้องจิ้งจอก
■ ที่อยู่: 11-3 Fukuoka Yatsumiya Kawarago, Shiroishi-shi, Miyagi-ken (宮城県白石市福岡八宮字川原子11-3)
■ เวลาทำการ: ฤดูร้อน 9:00 – 16:30 น., ฤดูหนาว 9:00 – 16:00 น.
■ วันหยุด: วันพุธ (หากตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันหยุดยาวจะเปิดให้บริการ)
■ ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) 1,500 เยน, เด็ก(ประถมศึกษาหรือต่ำกว่า) เข้าชมฟรี (เด็กหนึ่งคนต้องมีผู้ใหญ่อย่างน้อยหนึ่งคนเข้าดูแล)
■ เว็บไซต์ทางการ
3. ทางเดินซากุระพันต้นริมแม่น้ำชิโรอิชิกาวะ
สำหรับใครที่อยากไปชมซากุระต้องปักหมุดที่นี่เลยค่ะ! “ทางเดินซากุระพันต้นริมแม่น้ำชิโรอิชิกาวะ” (白石川堤一目千本桜) เป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดมิยางิ บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำชิโรอิชิกาวะ (Shiroishi River) ที่นี่มีต้นซากุระปลูกเรียงรายยาวกว่า 8 กิโลเมตร รวมแล้วประมาณ 1,200 ต้น! เมื่อถึงช่วงที่ดอกซากุระบานพร้อมกัน สีชมพูอ่อนของดอกซากุระ สีฟ้าใสของแม่น้ำ และสีขาวจากหิมะบนเทือกเขาซาโอะ เกิดเป็นภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน “100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น” (日本さくら名所100選) และได้รับสมญานามว่า “ฮิโตเมะ เซ็นบงซากุระ” ซึ่งหมายถึง “ซากุระพันต้นที่มองเห็นได้ในคราวเดียว” ค่ะ!
ในช่วงที่ซากุระบาน จะมีการจัด “เทศกาลซากุระโอกาวาระ” (Ogawara Sakura Festival) ซึ่งตอนกลางคืนจะมีโชว์พิเศษที่สวยงามโรแมนติกสุดๆด้วยแสงไฟ และบริเวณริมแม่น้ำชิโรอิชิกาวะจะมีจุดถ่ายรูปสวยๆ มากมาย เช่น “สะพานซูเอฮิโระ” (Suehiro Pedestrian Bridge) ที่สามารถชมซากุระได้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ, “เขื่อนนิรากามิ” (Niragamizeki Weir) ที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาซาโอะตัดกับทิวซากุระ, และ “สะพานชิบาตะเซ็นโอ” (Shibata Sen-o Bridge) ที่สามารถเก็บภาพซากุระคู่กับขบวนรถไฟได้อย่างสวยงามลงตัว!
■ ที่อยู่: ริมตลิ่งแม่น้ำชิโรอิชิกาวะ, เมืองโอกาวาระ, อำเภอชิบาตะ, จังหวัดมิยางิ (宮城県柴田郡大河原町)
■ เวลาทำการ: เข้าชมได้อิสระ, เทศกาลซากุระจะจัดประมาณต้นเดือนเมษายน ถึงกลางเดือนเมษายนของทุกปี
■ วันหยุด: ไม่มี
■ ค่าเข้าชม: ไม่มี
■ เว็บไซต์ทางการ
4. หุบเขานารุโกะ
มาต่อกันที่ “หุบเขานารุโกะ” (鳴子峡 – Naruko Gorge) หุบเขารูปตัว V ที่มีความลึกกว่า 100 เมตร บนหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยต้นไม้ผลัดใบหลากหลายชนิด เช่น ต้นเมเปิ้ล (Maple), ต้นคาเอเดะ (Acer), และต้นโอ๊คน้ำ (Mizunara) เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เหล่านี้จะพร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีแดงสดและสีเหลืองทองอร่าม ก่อให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามราวกับภาพวาดศิลปะ จนได้รับการนิยามให้เป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุเลยทีเดียว!
จุดเด่นอีกอย่างของหุบเขานารุโกะก็คือสะพานเหล็กที่ทอดข้ามหุบเขา ซึ่งมักจะมีขบวนรถไฟวิ่งผ่าน เป็นภาพที่สวยงามและมีเสน่ห์ดึงดูดช่างภาพและนักท่องเที่ยวให้มาเก็บภาพความประทับใจกันมากมาย ตลอดเส้นทางเดินชมธรรมชาติก็มีจุดถ่ายรูปสวยๆ กระจายอยู่หลายแห่ง ให้เราได้ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของหุบเขาและทัศนียภาพโดยรอบได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพมุมกว้าง หรือจะหามุมส่วนตัวเพื่อเก็บภาพความทรงจำดีๆ ก็จะเป็นความสุขอย่างหนึ่งของการมาเยือนที่นี่!
■ ที่อยู่: เขต Naruko Onsen Maeda ถึง Hoshinuma, เมืองโอซากิ, จังหวัดมิยางิ (宮城県大崎市鳴子温泉尿前~星沼地内)
■ เวลาทำการ: 9:00 – 16:00 น.
■ ช่วงเวลาที่เปิดให้เข้าชม: ปลายเดือนเมษายน ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน (ปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงปลายเดือนเมษายน)
■ ค่าเข้าชม: ไม่มี
■ เว็บไซต์ทางการ
5. เกาะมัตสึชิมะ
“เกาะมัตสึชิมะ” (松島) ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน “สามทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น” ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากบทกวี “โอคุโนะโฮโซมิจิ” (Oku no Hosomichi) ของมัตสึโอะ บาโช (Matsuo Basho) กวีเอกชื่อดังในสมัยเอโดะอีกด้วย และจุดเด่นของมัตสึชิมะคือทัศนียภาพอันงดงามของอ่าวที่เปิดออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบกับเกาะแก่งน้อยใหญ่กว่า 260 เกาะที่ปกคลุมด้วยต้นสนสีเขียวชอุ่ม กระจายตัวอยู่ทั่วอ่าว สร้างทัศนียภาพที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ จนเป็นที่รักของผู้คนมาตั้งแต่สมัยเฮอันเลยทีเดียว
สำหรับจุดชมวิวหลักของมัตสึชิมะ จะมีอยู่ 4 แห่งที่เรียกรวมกันว่า “มัตสึชิมะ ชิไดคัง” หรือ “สี่มุมมองอันยิ่งใหญ่แห่งมัตสึชิมะ” ได้แก่:
โซคัง (壮観 – Sokan): จุดชมวิวจากภูเขาโอทาคาโมริ (Mt. Otakamori) ทางทิศตะวันออกของอ่าวมัตสึชิมะ ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพมุมกว้าง
เรย์คัง (麗観 – Reikan): จุดชมวิวจากยอดเขาโทมิยามะ (Mt. Tomiyama) ที่สามารถชื่นชมทัศนียภาพอันอ่อนโยนและงดงาม
อิคัง (偉観 – Ikan): จุดชมวิวจากภูเขาทามอนยามะ (Mt. Tamonyama) ทางตอนเหนือสุดของเมืองชิจิกาฮามะ (Shichigahama) ที่ให้มุมมองอันโอ่อ่าและสง่างาม
ยูคัง (幽観 – Yukan): จุดชมวิวจากหุบเขาโอกิได (Ogidani) ด้านหลังภูเขาโซคันซัง (Mt. Sokan) ที่ให้ความรู้สึกสงบเงียบและลึกลับ
ชื่อของแต่ละจุดชมวิวก็สื่อถึงลักษณะทัศนียภาพของที่นั่นได้อย่างลงตัวเลย ความสวยงามเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงกลางวันเท่านั้นนะ วิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกก็งดงามจับใจจนน่าทึ่ง นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงของทัศนียภาพตามฤดูกาล ทั้งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ, ความเขียวชอุ่มในฤดูร้อน, ใบเมเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วง, และหิมะขาวโพลนในฤดูหนาว ยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์และความน่าหลงใหลให้กับดินแดนแห่งนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก!
■ ที่อยู่: เมืองมัตสึชิมะ, อำเภอมิยางิ, จังหวัดมิยางิ (宮城県宮城郡松島町松島)
■ เวลาเปิด-ปิด: เข้าชมได้อิสระ
■ ช่วงเวลาที่เปิดให้เข้าชม: เข้าชมได้อิสระ
■ ค่าเข้าชม: เข้าชมได้อิสระ
■ เว็บไซต์ทางการ
6. พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาโคเคชิญี่ปุ่น
นารุโกะออนเซ็นเป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาไม้โคเคชิ (Kokeshi) ที่เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงในด้านประเพณีการทำตุ๊กตาโคเคชิที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน “ตุ๊กตานารุโกะโคเคชิ” (Naruko Kokeshi) เป็นหนึ่งใน 11 ระบบหลักของตุ๊กตาโคเคชิแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น มีเอกลักษณ์โดดเด่นคือลวดลายดอกเบญจมาศที่งดงามบนลำตัว และการออกแบบส่วนหัวที่สามารถหมุนได้ เมื่อหมุนหัวตุ๊กตาจะมีเสียง “กึกๆ กักๆ” (คิคุ คิคุ) ที่น่ารัก ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของนารุโกะโคเคชิ ส่วน “พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาโคเคชิญี่ปุ่น” (日本こけし館) ก่อตั้งขึ้นในปีโชวะที่ 28 (ค.ศ. 1953) ในตอนนั้นคุณฟุคาซาวะ คานาเมะ (Fukasawa Kaname) กวีและนักเขียนนิทานสำหรับเด็ก ได้บริจาคคอลเลคชั่นตุ๊กตาโคเคชิอันล้ำค่าของเขาให้กับเมืองนารุโกะ นอกจากนี้ ตั้งแต่ปีโชวะที่ 32 (ค.ศ. 1957) ช่างทำตุ๊กตาโคเคชิทั่วประเทศจะส่งตุ๊กตาโคเคชิมาถวายในเทศกาลโคเคชิที่จัดขึ้นในท้องถิ่นเป็นประจำทุกปี เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาโคเคชิญี่ปุ่นเปิดทำการอย่างเป็นทางการในปีโชวะที่ 50 (ค.ศ. 1975) ใครที่ชอบงานฝีมือและของน่ารักๆ แบบญี่ปุ่นต้องแวะมาที่นี่เลย!
ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงตุ๊กตาโคเคชิแบบดั้งเดิมจากทั่วภูมิภาคโทโฮคุ และยังมีโซนสาธิตที่ช่างฝีมือจะมาแสดงวิธีการทำตุ๊กตาโคเคชิ ตั้งแต่การกลึงไม้ไปจนถึงการวาดลวดลาย นอกจากนี้ ยังมีโซนเวิร์คช็อปให้คุณได้ลองลงมือวาดลวดลายบนตุ๊กตาโคเคชิด้วยตัวเอง สร้างสรรค์ตุ๊กตาโคเคชิที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก เป็นของที่ระลึกสุดพิเศษจากทริปนี้กลับบ้านได้อีกด้วย
แหล่งที่มาของภาพ
■ ที่อยู่: 74-2 Naruko Onsen Yumoto, Osaki-shi, Miyagi-ken (宮城県大崎市鳴子温泉字尿前74-2)
■ เวลาทำการ: 1 เมษายน – 30 พฤศจิกายน: 8:30 – 17:00 น.
1 ธันวาคม – 31 ธันวาคม: 9:00 – 16:00 น.
■ วันหยุด: 1 มกราคม – 31 มีนาคม
■ ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 500 เยน, นักเรียนมัธยมปลาย 300 เยน, นักเรียนมัธยมต้น 200 เยน, นักเรียนประถม 150 เยน
■ เว็บไซต์ทางการ
7. เกาะทาชิโระ (เกาะแมว)
“เกาะทาชิโระ” (田代島 – Tashirojima) เป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองอิชิโนะมากิ (Ishinomaki City) จังหวัดมิยางิ ในภูมิภาคโทโฮคุของญี่ปุ่น มีเส้นรอบวงประมาณ 11 กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะนี้ และบนเกาะแห่งนี้ยังมีน้องแมวอาศัยอยู่มากกว่า 130 ตัว ในขณะที่จำนวนประชากรบนเกาะมีไม่ถึง 50 คน! น้องแมวเหล่านี้ใช้ชีวิตร่วมกับชาวเกาะอย่างสงบสุข ทำให้เกาะทาชิโระได้รับการนามว่าเป็น “เกาะแมว” (Neko-jima) และกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของเหล่าคนรักแมวจากทั่วโลก!
ว่ากันว่าในอดีต ชาวประมงบนเกาะจะสังเกตพฤติกรรมของแมวเพื่อทำนายปริมาณปลาที่จะจับได้ในแต่ละวัน ทำให้แมวได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี บนเกาะยังมี “ศาลเจ้าแมว” (Neko Jinja) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับแมวอีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างชาวเกาะกับน้องแมวได้อย่างน่าประทับใจเลย
■ ที่อยู่: Tashirohama, Ishinomaki-shi, Miyagi-ken (宮城県石巻市田代浜)
■ เวลาทำการ: เข้าชมได้อิสระ
■ ค่าเข้าชม: ไม่มีค่าเข้าชมบนเกาะ แต่มีค่าโดยสารเรือเฟอร์รี่ โปรดตรวจสอบตารางเวลาและค่าโดยสารได้ ที่นี่
■ เว็บไซต์ทางการ (wrong link)
8. ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย
ใครอยากเสริมดวงเรื่องโชคลาภเงินทองต้องมาทางนี้เลยค่ะ! “ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย” (金蛇水神社 – Kanahebisui Shrine) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่ไม่การระบุปีที่ก่อตั้งแน่ชัด แต่เป็นที่เคารพศรัทธาในฐานะเทพเจ้าแห่งน้ำมาอย่างยาวนาน ศาลเจ้าแห่งนี้บูชาเทพเจ้างูทอง (คินจาไดจิน) ซึ่งเชื่อกันว่ามีพุทธคุณในด้านความเจริญรุ่งเรืองทางธุรกิจ, ความมั่งคั่งร่ำรวย, การปัดเป่าโชคร้าย, และการเปิดรับโชคดี จึงเป็นที่เคารพนับถืออย่างกว้างขวางจากผู้ศรัทธาทั้งในจังหวัดมิยางิและทั่วทั้งภูมิภาคโทโฮคุเลยนอกจากนี้ ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมักจะถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีผู้ศรัทธาและนักท่องเที่ยวเดินทางมาสักการะขอพรกันเป็นจำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย!
ภายในศาลเจ้ามีจุดที่น่าสนใจหลายแห่ง รวมถึง “ต้นวิสทีเรียเก้ามังกร” (九龍の藤 – Kyuryu no Fuji) ที่มีอายุประมาณ 300 ปี และสวนโบตั๋นที่มีต้นโบตั๋นกว่า 1,500 ต้น ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกวิสทีเรีย, ดอกโบตั๋น, และดอกอาซาเลีย (Azalea) บานสะพรั่ง ทางศาลเจ้าจะจัด “เทศกาลดอกไม้” (花まつり – Hana Matsuri) ขึ้น กิจกรรมนี้ถือเป็นงานเทศกาลสำคัญประจำฤดูกาลของภูมิภาคเซ็นได และดึงดูดผู้คนจำนวนมากเดินทางมาชมความงามของดอกไม้นานาพันธุ์ นอกจากนี้ ภายในศาลเจ้ายังมีโรงทำเส้นโซบะที่ใช้น้ำบาดาลธรรมชาติในการทำเส้น ผู้มาสักการะสามารถแวะพักผ่อนและลิ้มลองโซบะทำสดได้ที่ร้านอาหารของศาลเจ้า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนที่นี่!
■ ที่อยู่: 7 Suijin, Mishikiyoshi, Iwanuma-shi, Miyagi-ken (宮城県岩沼市三色吉字水神7)
■ เวลาทำการ: [สำหรับสวดมนต์ขอพร] 8:00-16:00 น.
■ ค่าเข้าชม: เข้าชมได้อิสระ
■ เว็บไซต์ทางการ
9. สุสานซุยโฮเด็น
“สุสานซุยโฮเด็น” (瑞鳳殿 – Zuihoden) เป็นสุสานที่สร้างขึ้นตามคำสั่งเสียของดาเตะ มาซามูเนะ (Date Masamune) และอาคารปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1979 โดยอ้างอิงจากรูปแบบเดิมของสุสานซุยโฮเด็นที่ถูกเพลิงไหม้ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการฟื้นฟูงานแกะสลักหัวสิงโตบนเสาและกระเบื้องหลังคารูปหัวมังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันหรูหราและงดงามตามแบบฉบับของวัฒนธรรมโมโมยามะ (Momoyama period) ได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นการสืบทอดมรดกทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่าเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ภายในบริเวณเดียวกันยังมี “คันเซ็นเด็น” (Kansenden) สุสานของดาเตะ ทาดามูเนะ (Date Tadamune) ผู้ครองแคว้นรุ่นที่สอง และ “เซ็นโอเด็น” (Zenno-den) สุสานของดาเตะ สึนามูเนะ (Date Tsunamune) ผู้ครองแคว้นรุ่นที่สาม ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เหมาะสำหรับการเรียนรู้เรื่องราวของตระกูลดาเตะและประวัติศาสตร์ของเมืองเซ็นไดเป็นอย่างดียิ่ง
นอกจากความงดงามทางสถาปัตยกรรมแล้ว ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต้นเมเปิ้ลภายในบริเวณสุสานจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใส ตัดกับสีสันอันหรูหราของอาคารสถาปัตยกรรมแบบโมโมยามะได้อย่างงดงามลงตัว ใบไม้สีแดงจะย้อมทั่วทั้งบริเวณให้กลายเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยี่ยมชมและดื่มด่ำกับความงดงามของฤดูใบไม้ร่วง
■ ที่อยู่: 23-2 Otamayashita, Aoba-ku, Sendai-shi, Miyagi-ken (宮城県仙台市青葉区霊屋下23-2)
■ เวลาทำการ: 1 กุมภาพันธ์ – 30 พฤศจิกายน: 9:00 – 16:50 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 16:30 น.)
1 ธันวาคม – 31 มกราคม: 9:00 – 16:20 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 16:00 น.)
■ ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 570 เยน, นักเรียนมัธยมปลาย 410 เยน, นักเรียนมัธยมต้นและประถม 210 เยน
■ เว็บไซต์ทางการ
10. ทะเลสาบอิซุนุมะ
“ทะเลสาบอิซุนุมะ” (伊豆沼 – Izunuma Lake) เป็นทะเลสาบที่ลุ่มต่ำที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ และในช่วงฤดูหนาว ผิวน้ำของทะเลสาบก็จะคงไม่จับตัวเป็นน้ำแข็งทั้งหมด ทำให้ดึงดูดหงส์ขาวใหญ่ (Whooper Swan) ประมาณ 2,000-3,000 ตัว และห่านหน้าขาวใหญ่ (Greater White-fronted Goose) อีกหลายหมื่นตัว อพยพมาอาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงฤดูหนาว ก่อให้เกิดเป็นภาพธรรมชาติที่ตื่นตาตื่นใจ ด้วยเหตุนี้ในปี 1967 ทะเลสาบอิซุนุมะและทะเลสาบอุจินุมะ (Uchinuma Lake) ที่อยู่ใกล้เคียง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติแห่งชาติในฐานะแหล่งอาศัยของนก และในปี 1985 ยังเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งที่สองของญี่ปุ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์” (Ramsar Convention) ซึ่งเป็นอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ยิ่งเป็นการบอกถึงคุณค่าทางนิเวศวิทยาของที่นี่
นอกจากนี้ ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ช่วงประมาณปลายเดือนกรกฎาคมถึงสิ้นเดือนสิงหาคม จะมีการจัด “เทศกาลดอกบัว” (はすまつり – Hasu Matsuri) เป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือน ในช่วงเวลานี้ นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมทุ่งดอกบัวที่บานสะพรั่งเต็มผืนน้ำได้อย่างใกล้ชิด สัมผัสกับทัศนียภาพฤดูร้อนที่งดงามราวกับความฝันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นภาพฝูงนกอพยพอันยิ่งใหญ่ในฤดูหนาว หรือทุ่งดอกบัวบานสะพรั่งในฤดูร้อน ทะเลสาบอิซุนุมะก็เป็นจุดที่คนรักธรรมชาติไม่ควรพลาดเลย!
■ ที่อยู่: Hasama Shinden, Tome-shi, Miyagi-ken (宮城県登米市迫町新田)
■ เวลาทำการ: เปิดตลอดวัน
■ ค่าเข้าชม: เข้าชมได้อิสระ
■ เว็บไซต์ทางการ
จังหวัดมิยางิมีทั้งธรรมชาติที่สวยงามอลังการ วัฒนธรรมที่ลึกซึ้งน่าค้นหา และเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่หลากหลาย ทำให้มิยางิเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่สามารถมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกคนได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นสายเที่ยวธรรมชาติ, สายประวัติศาสตร์, หรือสายรักสัตว์ มิยางิก็พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างแน่นอน ถ้าใครกำลังวางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นฝั่งโทโฮคุ อย่าลืมปักหมุดสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ไว้ในลิสต์นะ!